เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๕ ธ.ค. ๒๕๕๔

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๔
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราชาวพุทธนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” เราก็งงว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วได้อย่างไร? อะไรคือดี อะไรคือชั่ว? เห็นไหม เครื่องหมายของคนดี ความกตัญญูกตเวที เรารู้คุณคน เรารู้จักบุญคุณของคนเป็นคนเครื่องหมายของคนดี แต่เวลาเราบอกว่าเราทำดีแล้ว ทำไมคนไม่เห็นความดีของเรา?

ความดีของเรา เห็นไหม ถ้าเป็นความดีของเรานะ เราทำความดีทิ้งเหว ถ้าเราหวังความดี นี่เรามีความทุกข์มาก แต่เราไม่หวังสิ่งใดเลย เราทำดีต้องได้ดี แต่ความดีอันนี้ ดีเพราะว่าเรารู้ของเราเองว่าเราทำคุณงามความดีของเรา เราไม่ต้องไปตามหวังผลว่าความดีมันเป็นแบบใด? แต่ความดี เห็นไหม

“กลิ่นของศีลหอมทวนลม”

กลิ่นดอกไม้ กลิ่นต่างๆ มันหอมตามลม กลิ่นของศีล กลิ่นของคุณงามความดีมันหอมทวนลม แต่คนจะพูดออกมานี่เขาจะพูดออกมาให้มันเป็นค่าของน้ำใจ ถ้าใจมันมีคุณค่าอย่างนั้น นี่เครื่องหมายของคนดีคือความกตัญญูกตเวที เราสอนลูกสอนหลานนะ นี่เวลากินอาหารนะอย่ากินอาหารสิ่งที่มันเป็นพิษเป็นภัย เวลาโตขึ้นมาแล้วนะอย่าเอาเหล้าเอายากรอกเข้าไปในร่างกายนะ ถ้าเอาเข้าไปแล้วมันทำให้สุขภาพร่างกายไม่ดี นี่สิ่งที่แม้แต่เราจะกิน เราจะอยู่ เราจะใช้ เราก็อยากใช้ของดีๆ ทั้งนั้นแหละ

ทีนี้ในหัวใจของเราล่ะ? ในหัวใจของเรามันก็มีความขัดแย้งในหัวใจของเรา ถ้ามีความขัดแย้ง วิชากับอวิชชา วิชาคือความรู้ ความดีงามนี่วิชา อวิชชาคือความไม่รู้ แล้วไม่รู้นี่เรื่องอะไรล่ะ? ก็ไม่รู้ที่มาที่ไปนี่ไง เราเกิดมาเราก็เกิดมาจากพ่อจากแม่ ถ้าพ่อแม่ไม่บอกวันเกิดจำไม่ได้นะ เวลาเกิดมานี่พ่อแม่ต้องบอกนะเกิดเมื่อไหร่ ตกฟากเมื่อไหร่ ถ้าพ่อแม่ไม่บอกเรารู้ได้อย่างไร?

นี่ไงแม้แต่เกิดเราเองเรายังไม่รู้เลยว่าเราเกิดเมื่อไหร่? พ่อแม่เป็นคนบอก ฉะนั้น สิ่งที่ว่าเรายังไม่รู้ที่มาที่ไปมันเป็นแบบใด นี่ไงคืออวิชชา เราไม่รู้ที่มาที่ไปนะ แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาแล้วรู้ที่มาที่ไป นี่กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ กรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมให้ดำรงชีวิต กัมมะโยนี กัมมะพันธุ กัมมะปฏิสะระโณ เราสวดอยู่ทุกวัน เราสวดมนต์สวดพร เราเจริญพุทธมนต์ เราเจริญคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อจะให้เรามีสติปัญญา

นี่จะบอกว่าถ้าอวิชชาคือมันไม่รู้เหนือรู้ใต้ แต่เวลาเราโตขึ้นมาแล้วเรามีการศึกษาของเรา เรามีปัญญาของเรา เราว่าเรามีปัญญาของเรา ปัญญาอย่างนี้ เห็นไหม ดูสิทางโลกเดี๋ยวนี้เขามีวิชาชีพทุกสาขาเลย ถ้าเขามีอาชีพของเขา เพื่อสาขาของเขา เป็นผลตอบแทนของเขา นี่มันเป็นเรื่องโลกๆ นะ เรื่องโลกๆ คือเราต้องหาอยู่หากิน

คำว่าหาอยู่หากิน เราหามาเพื่อเรา เห็นไหม นี่สิ่งที่เราหาอยู่หากินถ้ามันเป็นประโยชน์กับเราล่ะ? ถ้ามันเป็นประโยชน์กับเรา เราหามาเพื่อดำรงชีวิต แต่ถ้ามันเป็นโทษล่ะ? ถ้ามันเป็นโทษ เห็นไหม เราไม่ทำ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เพราะเรามีศีลธรรม ศีลธรรมทำให้มนุษย์ต่างกับสัตว์ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการนะ นี่ว่ามนุษย์โง่กว่าสัตว์ โง่กว่าสัตว์เพราะสัตว์มันมีเสรีภาพของมัน

สัตว์ป่านะ สัตว์ป่าอยู่ในป่าในเขาของมัน มันมีเสรีภาพของมันตามแต่เผ่าพันธุ์ของมัน มันมีเสรีภาพของมัน เห็นไหม นี่มนุษย์เขียนกติกาขึ้นมาเอง กฎหมายเขียนขึ้นมา กฎกติกาเขียนขึ้นมา มนุษย์เขียนขึ้นมาเองแล้วติดกติกาของตัวเอง แต่! แต่มันเป็นความจำเป็น มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เราอยู่คนเดียวไม่ได้ เราต้องอยู่ด้วยพึ่งพาอาศัยกัน การพึ่งพาอาศัยกัน เห็นไหม นี่จิตใจของคนมันไม่เหมือนกัน ความรู้สึกนึกคิดของคนแตกต่างกัน ถึงต้องมีกติกาบังคับไว้

ถ้ามีกติกาบังคับไว้ นี่ถ้ากติกา ดูสิธรรมและวินัย วินัยนะ ถ้าเราไม่ทำผิด กฎหมายก็เป็นกฎหมายนี่แหละ เราไม่ทำผิดมันให้โทษอะไรกับเรา แต่ถ้ามีกฎหมาย ดูพระนะเวลาเข้าพรรษา อธิษฐานพรรษาแล้วนี่อึดอัดไปหมดเลย ๓ เดือน เวลาออกพรรษาแล้วนะไม่ไปถึงไหนหรอก โล่งเลย ไม่ได้ไปไหนนะ นี่กติกาเรารู้อยู่ว่าเราไปไหนไม่ได้ใน ๓ เดือนนี้ นี่มันก็อึดอัดขัดข้องไปหมด แต่พอมันพ้นออกพรรษาไปแล้วนะจะไปไหนเมื่อไหร่ก็ได้ มันก็ไม่ไปนี่แหละ แต่มันโล่งไปเลย พอมีสิ่งใดขึ้นมาเราแก้ไขของเราได้

ฉะนั้น สิ่งที่ว่าเราจะหาคุณงามความดีใส่ตัวของเรา เห็นไหม เครื่องหมายของคนดี นี่เครื่องหมายของคนดีนะ เรานะเรามาวัดมาวา เรามาภาวนา เราจะหาความสงบระงับให้กับหัวใจ เวลาคนเขาทำงานกัน เวลาวันหยุดเขาไปพักผ่อนของเขา เขาไปชาร์ตไฟของเขา แต่เวลาเขาคิดของเขา เขาไปแล้วเขามีความสุข เขามีความพอใจของเขา แต่นี่เวลาเราพักผ่อนของเราล่ะ? ถ้าจิตมันได้พักนะ ดูสิเวลาเราตึงเครียดขึ้นมานี่เราอยากพักมาก อยากให้จิตมันได้พักได้ผ่อน แต่จิตมันก็ไม่ได้พักไม่ได้ผ่อน

เวลาคนพักผ่อนทางโลก คือนอนหลับสนิทนี่ได้พัก ถ้าไม่ได้พักเลยนะคนจะเพลียมาก แต่ได้พักขึ้นมามันก็สดชื่นขึ้นมา แต่หัวใจนะ ขนาดนอนหลับมันก็ฝัน มันไม่ได้พักของมัน เห็นไหม ถ้าเราตั้งสติ พุทธานุสติ ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้ามันได้พักของมัน ถ้าได้พักนี่เราได้พัก นี่เราหาคุณงามความดีใส่ใจของเรา กตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี มันดีอย่างใด? อะไรเป็นความดีของเรา?

ความดี เห็นไหม ความดีอย่างทางโลกเขา ความดีอยากมาประพฤติปฏิบัติ ความดีจากอริยทรัพย์ ถ้าความดีจากอริยทรัพย์นะมันจะมีปัญญาที่ว่าภาวนามยปัญญา ปัญญาที่คนรู้ไม่ได้ ดูสิทางการแพทย์เขามีเครื่องวัดอุณหภูมิว่าพลังงานเรามีเท่าไหร่? ร่างกายนี้มันทรงตัวได้อย่างไร? เขาวัดของเขาได้ แต่จิตใจล่ะ? จิตใจเอาอะไรไปวัด? ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา นี่เราดูแลของเรา

จิตใจนี้เรียกร้องการดูแลรักษา แต่เรารักษาไม่เป็น เวลามันทุกข์มันร้อนขึ้นมา เห็นไหม เราไปพักผ่อน เราไปเที่ยว เราไปหาสิ่งใดๆ เพื่อจะบรรเทามันๆ แล้วพอกลับมามันก็มาเจอปัญหาเดิมๆ นั่นล่ะ แต่ถ้าเรามีสติของเรา เราใช้สติให้มันมีความสงบระงับด้วยพุทธานุสติ พุทโธ พุทโธให้มันสงบระงับ พอเวลาสิ่งใดกระทบนี่มันสงบได้ยากมาก แต่ถ้ามันสงบระงับได้มันจะเห็นผลไง ว่าก่อนที่สงบระงับขึ้นมา สิ่งใดที่มันตึงเครียดในหัวใจมันมีความทุกข์มาก เวลามันสงบระงับไปแล้วสิ่งนั้นหายไปไหน?

นี่ถ้าคนมีสติมันได้คิดนะ ถ้ามันได้คิดว่าสิ่งนั้นหายไปไหน? นี่ทำไมมันสงบระงับได้ล่ะ? พอมันคลายตัวออกมาทุกข์อีกแล้ว ทำไมเป็นเหมือนเดิมอีกแล้วล่ะ? นี่มันเป็นเหมือนเดิมนั่นแหละ เพราะว่าอะไร? เพราะว่ามันสงบระงับเฉยๆ แต่ความสงบระงับเราได้เห็นไง เห็นว่าเวลาฟุ้งซ่านอย่างหนึ่ง เวลาสงบระงับอย่างหนึ่ง เห็นไหม แล้วถ้าเรามีครูบาอาจารย์ หรือเรามีอำนาจวาสนา เราใช้ภาวนามยปัญญา ปัญญาจากภายใน นี่เราจะเอาสิ่งที่เป็นสารพิษออกจากร่างกายของเรา เราจะเอาสารพิษออกจากจิตใจของเรา

ร่างกาย เห็นไหม หมอรักษาหาย จิตใจนี่ใครรักษาให้เราได้ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนเท่านั้น ตนเท่านั้น สติปัญญาของตนเท่านั้นที่จะชำระกิเลสของเรา ที่จะผ่อนคลายความอัดอั้นตันใจของเรา สิ่งที่มันฝังใจเรามันเป็นไฟสุมขอนนะ อวิชชาคือไฟสุมขอน มันเผาลนในหัวใจ มันเผาลนอยู่อย่างนั้นแหละ นี่สิ่งที่เราแสวงหามามันจะสมบูรณ์พูนผลขนาดไหน แต่ในลึกๆ ของใจมันว้าเหว่ มันว้าเหว่นะ ยิ่งถ้าเวลาเราต้องพลัดพรากจากมันไป นี่มันละล้าละลังๆ นะ

แต่ถ้าเราทำใจของเรา เราพิจารณาของเราตั้งแต่บัดนี้ สมบัติพัสถานสิ่งที่เราหามาเป็นของประจำโลก เพราะเรามีอำนาจวาสนาเราถึงได้สิ่งนี้มา แล้วนี่ชีวิตของเรา เราก็ต้องพลัดพรากออกไป ถ้าพลัดพรากออกไป จิตใจของเราจะมีอะไรเป็นที่พึ่ง ถ้าสิ่งที่เป็นที่พึ่ง มันจะหาที่พึ่งของมัน พิจารณาของมัน พอมันมีที่พึ่งขึ้นมา ทรัพย์สมบัติมันอยู่ภายนอกเราก็ละได้ ร่างกายนี่เราก็ละได้ ชีวิตนี้มันต้องเป็นไปตามสัจธรรมของมัน

สัจจะ เห็นไหม คนเกิดมาเท่าไหร่ต้องตายหมด ช้าหรือเร็วเท่านั้น แต่การตาย ตายโดยที่มีหลักมีเกณฑ์ กับการตายโดยว้าเหว่ ตายโดยที่สิ่งใดไม่มีหลักมีเกณฑ์ไป แล้วหลักเกณฑ์ทางโลก นี่ไงสิ่งที่เป็นธรรมๆ สิ่งที่เรายึดมั่นความดี กตัญญูกตเวที นี่กตัญญูกตเวทีคนที่มีบุญคุณกับเรา แต่ถ้าเวลาเราเกิด เราภาวนาของเรา เราเกิดมรรคญาณขึ้นมาจากในหัวใจของเรา เราจะกตัญญูกับใครล่ะ?

เรารู้เราเห็นของเรา เห็นไหม ถ้าเรารู้เราเห็นของเรา ความลับไม่มีในโลก นี่เรารู้เราเห็นของเรา เวลามันทุกข์มันร้อน มันเผาลนนี่เรารู้ของเราแต่เราแก้ไม่ได้ เราแก้ไม่ได้ แต่เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันแก้ได้ๆ มันแก้ขึ้นมาเพราะเหตุใดล่ะ? มันแก้ขึ้นมาเพราะเราเกิดมาเป็นชาวพุทธ เราเริ่มต้นสนใจในศาสนา เราเชื่อมั่นในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นแก้วสารพัดนึก ฉะนั้น เราถึงเสียสละทาน ที่เป็นคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เราทำบุญกุศล เราเสียสละทานของเรา เสียสละทาน เห็นไหม เสียสละทานเพื่อให้ใจมันเปิดกว้าง ถ้าใจมันเปิดกว้างขึ้นมา ใจมันเป็นสาธารณะ ใจที่มันไม่คับแคบ มันไม่บีบคั้นตัวมันเอง เราจะเริ่มภาวนาของเราได้ง่ายขึ้น ไอ้นี่อะไรก็บีบคั้นไว้ อะไรก็กดทับไว้ แล้วก็พุทโธ พุทโธ พุทโธ

นี่ทาน ศีล ภาวนา ในลัทธิต่างๆ นะ เขาบอกว่าทานไม่มีผล เขามีผลเฉพาะว่ามีศีลกับสมาธิ ทำสมาธิไปเลย ทานก็ส่วนทาน แต่เวลาเราสร้างบุญบารมีของเรานะ ทานบารมี เวลาเราปฏิบัติไป เห็นไหม สิ่งใดที่มันบีบคั้นในหัวใจขึ้นมา เวลาเรานั่งสมาธินะ อยู่ในป่าในเขา ดูสิเวลาครูบาอาจารย์ท่านเล่านะ ว่าเสือตัวใหญ่ๆ เสือเทพมันไม่ใช่เสือธรรมชาติ ถ้าเสือธรรมชาติมันมามันจะกินคน แต่ถ้าเสือเทพมันมามันมานั่งเฝ้า ถ้าอย่างนั้นรู้ว่าเสือเทพได้อย่างไร?

หลวงตาท่านเล่าให้ฟัง ท่านบอกว่าเวลาพระเจอมัน พระก็รู้สึกแบบว่าต้องให้ต่างคนต่างไปไง จะไปหาอยู่หากินที่ไหนก็ไปเถอะ ไม่ต้องมาเฝ้ากันหรอก มันคำรามเลยนะ นี่ความนึกคิด พระท่านนึกคิดท่านไม่ได้พูด อ๋อ ถ้าอย่างนั้นจะเฝ้าดูแลรักษาความปลอดภัยให้ก็ได้ ถ้าอยู่นั่นก็อยู่ นี่มันเงียบเลย เห็นไหม นี่ไงสัตว์มันรู้ความรู้สึกนึกคิดของคนได้อย่างไร? นี่เสือเทพ คำว่าเสือเทพนะ เราอยู่ในป่าในเขา ถ้าเราทำคุณงามความดีของเรา นี่เทวดา อินทร์ พรหม เขาดูแลนะ นี่เขาดูแลเขาอยากได้มรรคได้ผลกับเรา อยากได้บุญกุศลกับเรา นี่เราคิดว่าเราไม่รู้หรือ?

สิ่งที่เราทำของเรา เห็นไหม ถ้าเราทำความสงบของใจเข้ามา ใจนี่ ความรู้สึกของใจ เวลาที่ใจกับใจ ผู้ที่เขาอยู่มิติที่เขารู้ได้ เขารู้ได้ของเขา เราทำประโยชน์กับเรา ถ้าทำประโยชน์กับเรา เห็นไหม เราทำคุณงามความดี สิ่งนี้มันจะมีคนคุ้มครอง ทาน ศีล ภาวนา เราเสียสละทาน นี่ทานบารมีมันจะมีผลไง ถ้าทานบารมีไม่มีผลขึ้นมาเราไปแบบ... เครื่องยนต์ ไม่มีน้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์ติดเครื่องไม่ได้ ติดขึ้นมาเครื่องก็เสีย เครื่องยนต์มีน้ำมันครบหล่อลื่นขึ้นมา ติดเครื่องยนต์ขึ้นมามันจะไปได้

ทาน ทานที่เราเสียสละของเรามันเป็นทานบารมี มันทำให้คนเรามีหลักมีเกณฑ์ ทำให้คนเรามันหมุนของมันไปได้ ศีล ศีลคือความปกติของใจ แล้วถ้าเกิดศีลเกิดสมาธิขึ้นมา เกิดปัญญาขึ้นมา เห็นไหม แต่ถ้าไม่มีทานบารมีนะ นี่เขาบอกว่าภาวนาเลย ใช้ปัญญาไปเลย แล้วมันก็เหมือนเครื่องยนต์ไม่มีน้ำมันหล่อลื่น พอเครื่องมันจะติดมันก็ติดไม่ได้ ติดขึ้นมามันก็ติดขัดไปหมด นี้คนถ้าเห็นประโยชน์กับมันไง แต่ถ้าเราไม่เห็นประโยชน์เพราะว่าเวลาพุทธศาสนาสอนเรื่องปัญญาๆ เราก็ใช้ปัญญาเลย ใช้ภาวนาไปเลย ไอ้ทานนี้ไม่มอง

ถ้าเราอยู่ที่ว่าความพอใจของเรานะ นี่มีคนเขาติเตียนเหมือนกัน พระพูดอะไรก็ทานๆ ก็พระเป็นคนรับพระก็พูดอย่างนั้น เนื้อนาบุญนะ หลวงตาบอกว่าเวลาเจ้าของนาเขาทำนาของเขา ถึงคราวนะเขาเกี่ยวข้าวของเขาไป เศษตก เห็นไหม เศษข้าวที่มันตกอยู่ที่ผืนนานั้น พระคือนานั้น บุญกุศลคือของเขา เขาเสียสละของเขาเป็นของๆ เขา แต่เราบอกนี่พระได้ๆ ได้แต่ฟางข้าวไง ได้แต่ข้าวที่เขาเกี่ยวแล้วมันตกไว้ไง

นี้พูดถึงข้าวนะ มันเป็นวัตถุ แต่ถ้าเป็นบุญกุศลล่ะ? เป็นสัจจะความจริงล่ะ? ของๆ เรา เราเสียสละออกไปเราไม่ได้ได้อย่างไร? แต่มันได้อะไรขึ้นมาล่ะ? ได้เป็นทิพย์ๆ นี่คนภาวนาแล้วจะรู้ ถ้าคนไม่ภาวนาก็ว่าพระพูด เห็นไหม ก็พูดอยู่นี่ไง ของเต็มอยู่นี้ก็ของพระไง

การใช้สอย นี่เวลาพระนะมักน้อย มักน้อยนะ ถึงมักน้อยสันโดษ เวลาสันโดษ สันโดษเอาสิ่งที่พอเป็นไป ได้มาแล้วยังมักน้อย มักน้อยเพราะอะไร? เพราะสิ่งที่ให้มากเข้าไป ให้เข้าไปมากมันเป็นพลังงานที่เหลือใช้ แล้วเวลาไปนั่งก็สัปหงกโงกง่วง เราเห็นคุณงามความดีที่ละเอียดกว่านี้ไง คุณงามความดีที่ละเอียดกว่านี้ คุณงามความดีไม่ใช่ลิ้นกระทบ คุณงามความดีที่จิตมันสงบ ใจกระทบ ถ้าใจกระทบอันนั้นเราปรารถนาอันนั้น ถ้าเราปรารถนาอันนั้นเราต้องดูแลของเรา

ใครบอกว่าภาวนาก็ไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้ กินจนเป็นหมูเลยแล้วจะนั่งภาวนากัน นี่เราต้องมีศีล ๘ เห็นไหม ศีล ๘ เขาไม่กินข้าวเย็น นี่พอกินข้าวเย็นเต็มท้องเลย แล้วก็ไปนั่งสัปหงกนะ บอกภาวนาๆ แล้วก็บอกว่าทำไมภาวนาไม่ได้? ภาวนาไม่ได้ นี่ไม่มองความดำรงชีวิตของเรา ถ้าเราดำรงชีวิตของเรานะเราดูแลตั้งแต่นั่น วัวผูกไว้ ถึงเวลาแล้วนี่ศีล ๘ เย็นไม่กินข้าว กินแต่น้ำปานะ กินแต่ต่างๆ แล้วพอท้องมันว่าง นี่เวลานั่งสมาธิมันก็ดีขึ้น ทุกอย่างก็ดีขึ้น

ถ้าเรามีปัญญาเรารักษาของเรา เห็นไหม นี่จิตใจที่มันได้สัมผัส จิตใจสัมผัสสติธรรม สมาธิธรรม ปัญญาธรรม มันจะเกิดกับเรานะ นี่กตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี คนดี ดีจากพื้นฐาน ดีถึงที่สุด ดีจนเอาตัวเองรอดได้ ร่มโพธิ์ร่มไทร ครูบาอาจารย์ของเราเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ร่มโพธิ์ร่มไทรนี่นกกามันจะอาศัย ถ้าหัวใจยังช่วยตัวเองไม่ได้ เราเองนี่ต้นไม้ นก กา มันมาเกาะไว้ บินไว้ มันต้องกระพือปีกไว้นะ ต้นไม้นั้นจะล้ม

นี่ถ้าเรามีหลักมีเกณฑ์ของเรา มีร่มโพธิ์ร่มไทร นกกาจะอาศัย อาศัยที่ไหน? อาศัยที่ชี้นำไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าเป็นคนชี้ทางเท่านั้น พวกเราเป็นคนขวนขวาย เป็นคนที่ประพฤติปฏิบัติจะให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ คนทุกมีโอกาสนะ เพราะทุกคนมีทุกข์ ถ้าทุกคนกำจัดทุกข์ได้ นั้นเป็นสัจจะความจริง แล้วทำได้

นี่ถ้าเป็นเครื่องหมายของคนดี หมายถึงคนๆ นั้นมีสติ มีสัมปชัญญะ ถ้าเราขาดสติ เห็นไหม เราเบียดเบียนตัวเราเอง แล้วเราทำลายคนอื่นไป มันไม่ใช่คนดีเพราะอะไร? เพราะมันไม่มีสติ ไม่มีภวาสวะ ไม่มีเจ้าของ ถ้ามีสติ มีเจ้าของขึ้นมามันจะรักษาตัวเอง ถ้ารักษาตัวเอง จากที่ว่าเรามีสติปัญญาของเรา เรารู้จักรักษาของเรา นี่มันจะรักษาจากพื้นฐานขึ้นไป แล้วจะเติบโตขึ้นไป เป็นสัจจะความจริงในหัวใจ เอวัง